การทำงานร่วมกับ AI ในการเขียนโค้ดอย่างถูกวิธี
🔹 บทนำ
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนวิธีที่เราเขียนซอฟต์แวร์อย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้มีเครื่องมืออย่าง Codex, GitHub Copilot และปลั๊กอิน AI ใน Neovim/VSCode ที่สามารถช่วยเติมโค้ดอัตโนมัติ สร้างโครงร่างโปรเจ็กต์ หรืออธิบาย error message ที่ซับซ้อนได้
แต่สิ่งสำคัญคือ: AI ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแทนที่นักพัฒนา มันถูกสร้างมาเพื่อเป็นคู่หู หากใช้อย่างผิดวิธี อาจก่อให้เกิดโค้ดที่อ่านยาก ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย หรือการพึ่งพาเครื่องมือมากเกินไป แต่หากใช้ให้ถูกทาง AI จะช่วยให้คุณ ทำงานได้เร็วขึ้น เรียนรู้ได้ไวขึ้น และยังคงควบคุมคุณภาพของงานได้เต็มที่
🔹 1. มอง AI เป็น “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ไม่ใช่ “นักเขียนโค้ดอัตโนมัติ”
ลองจินตนาการว่าคุณมีนักพัฒนามือใหม่มานั่งข้าง ๆ คุณจะไม่โยนทั้งโปรเจ็กต์ให้เขาทำเองทั้งหมด แต่คุณจะให้คำแนะนำ ตรวจสอบ และใช้ผลงานของเขาเป็นพื้นฐานในการต่อยอด นั่นแหละคือวิธีที่ควรใช้ AI
- ✅ วิธีที่ถูกต้อง: ให้ AI ช่วยสร้างฟังก์ชันย่อย เขียน test case หรือเสนอแนวทางการ refactor แล้วคุณค่อยตรวจสอบและแก้ไข
- ❌ วิธีที่ผิด: ให้ AI เขียนโค้ดยาวเป็นร้อยบรรทัดแล้ว commit เข้า production โดยไม่ตรวจสอบ
ตัวอย่าง: แทนที่จะสั่งว่า “เขียนแอป e-commerce ด้วย Django ให้ครบ”
ควรสั่งว่า:
“สร้าง Django model สำหรับ
Order
ที่มีฟิลด์ status, payment method, timestamp และเชื่อมโยงกับUser
”
🔹 2. ทำงานเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ แบบ Iterative
การสั่งให้ AI เขียนโค้ดขนาดใหญ่ในครั้งเดียว มักจะได้โค้ดที่ไม่สมบูรณ์หรือใช้ไม่ได้จริง วิธีที่ดีกว่าคือแบ่งงานเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ที่สามารถตรวจสอบได้ง่าย
- ✅ สร้างฟังก์ชัน → เพิ่ม validation → เขียน test → ใส่ document
- ❌ ให้ AI เขียน service layer ทั้งหมดในครั้งเดียว
การทำงานแบบนี้คล้ายกับ Agile Development คือทำเป็นรอบสั้น ๆ ตรวจสอบบ่อย ๆ และปรับปรุงเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้คุณยังคงควบคุมทิศทางของโค้ดได้เต็มที่
🔹 3. คุมมาตรฐานและสไตล์การเขียนโค้ด
AI มักจะเขียนโค้ดตามรูปแบบที่มันเรียนรู้มา ซึ่งอาจไม่ตรงกับมาตรฐานของโปรเจ็กต์คุณ ถ้าไม่กำหนดไว้ คุณอาจได้โค้ดที่ปนกันทั้งหลายสไตล์
- ใส่คำสั่งใน prompt เช่น:
“เขียนโค้ดตาม PEP8”, “ใส่ type hints”, “ใช้ async/await” - ใช้เครื่องมือ format และ lint เช่น
black
,eslint
เพื่อบังคับโค้ดให้อยู่ในมาตรฐาน - ให้ AI ช่วยเขียน docstring และ test ที่สอดคล้องกับ style ของทีม
🔹 4. ใช้ AI เพื่อ “เรียนรู้” ไม่ใช่แค่ “ผลิตโค้ด”
คุณค่าที่แท้จริงของ AI ไม่ใช่เพียงช่วยให้พิมพ์โค้ดได้ไวขึ้น แต่คือการทำให้คุณเข้าใจและเรียนรู้ได้ลึกขึ้น
- ถาม AI ให้ อธิบายโค้ด:
- “regex นี้ทำงานยังไง อธิบายทีละขั้นตอน”
- “ทำไม FastAPI endpoint นี้ถึงคืนค่า 422”
- ขอให้ AI เปรียบเทียบวิธีการ:
- “เขียนโค้ด caching แบบใช้ Redis กับแบบ in-memory ให้ดูทั้งสองแบบ”
- ให้ AI เสนอทางเลือกใหม่:
- “refactor query นี้ให้เป็น ORM ของ SQLAlchemy”
การใช้วิธีนี้ AI จะกลายเป็น ครูผู้ช่วย ที่ทำให้คุณพัฒนาฝีมือเร็วขึ้น แทนที่จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้คุณพึ่งพาโดยไม่คิด
🔹 5. เข้าใจข้อจำกัดและความเสี่ยงของ AI
AI ไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันสามารถแต่ง API ที่ไม่มีอยู่จริง แนะนำวิธีที่ไม่ปลอดภัย หรือเขียนโค้ดที่ไม่มีประสิทธิภาพได้
- ตรวจสอบโค้ดจาก AI เหมือนการตรวจงานของนักพัฒนามือใหม่
- ระวัง ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย เช่น input ที่ไม่ validate, hardcoded secret, การไม่จัดการ error
- คิดถึง ลิขสิทธิ์และ license ของโค้ดที่ AI สร้างขึ้น
- หลีกเลี่ยงการนำ ข้อมูลลับ ไปใส่ใน prompt
🔹 6. รวม AI เข้ากับ Workflow อย่างฉลาด
AI จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณปรับให้เข้ากับ editor และ workflow ของคุณ
- ใช้ทั้ง structured completion และ inline ghost text:
nvim-cmp
หรือ IntelliSense → สำหรับคำแนะนำจาก LSP, snippet, path- Ghost text (เช่น Copilot) → สำหรับ AI เขียนโค้ดต่อให้แบบ inline
- กำหนด keymap ที่ชัดเจน:
<C-Space>
→ เปิดเมนู suggestion<C-y>
→ ยอมรับ ghost text<C-n>/<C-p>
→ เลื่อนดู suggestion
- แบ่งงานให้เหมาะสม:
- ให้ AI เขียน boilerplate, config, migration
- ให้คุณโฟกัสที่ business logic และ security
🔹 สรุป
AI เป็นผู้ช่วยที่ทรงพลัง แต่ถ้าใช้แบบผิดวิธี มันอาจกลายเป็นดาบสองคม การทำงานร่วมกับ AI อย่างถูกต้องคือการมองมันเป็น คู่หูโปรแกรมเมอร์
- ทำงานเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ
- คุมมาตรฐานและ style ของโค้ด
- เรียนรู้จากสิ่งที่ AI สร้างขึ้น
- ตรวจสอบและทดสอบเสมอ
- ใช้ AI เพื่อเสริม ไม่ใช่แทนที่
สรุปสั้น ๆ: คุณยังคงเป็นนักบินหลัก และ AI เป็นผู้ช่วยนักบิน แบบนี้แหละที่ทำให้คุณเขียนโค้ดได้เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และปลอดภัยขึ้นในยุค AI
Get in Touch with us
Related Posts
- วิธีเลือกโมเดล LLM ที่เหมาะสม: Instruct, MLX, 8-bit และ Embedding
- วิธีใช้โมเดล LLM แบบรันในเครื่อง (Local LLM) ในการทำงานประจำวัน
- วิธีใช้โมเดล Embedding ร่วมกับ LLM เพื่อสร้างแอป AI ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น
- ระบบกล้องอัจฉริยะสำหรับตรวจหาข้อบกพร่องของวัสดุต่อเนื่อง
- สร้างระบบตรวจจับความเสียหายแบบเรียลไทม์ด้วยกล้อง Line-Scan + AI (แนวทางนำไปใช้ได้หลายอุตสาหกรรม)
- วิธีอ่านซอร์สโค้ด: ตัวอย่างจาก Frappe Framework
- Interface-Oriented Design: รากฐานของ Clean Architecture
- เข้าใจระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) – สถาปัตยกรรม ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์
- RTOS vs Linux ในระบบโดรน: ออกแบบอย่างไรให้ทันสมัย ปลอดภัย และเขียนด้วย Rust ได้หรือไม่?
- ทำไม Spring ต้องใช้ Annotation เยอะ? เจาะลึกโลก Java และ Python สำหรับนักพัฒนาเว็บ
- จาก Django สู่ Spring Boot: คู่มือเปรียบเทียบฉบับเข้าใจง่ายสำหรับนักพัฒนาเว็บ
- สร้างระบบ Python ขนาดใหญ่แบบยั่งยืนด้วย Clean Architecture (พร้อมตัวอย่างและแผนภาพ)
- ทำไม Test-Driven Development (TDD) ถึงตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
- สร้างระบบ Continuous Delivery ให้ Django บน DigitalOcean ด้วย GitHub Actions และ Docker
- สร้างระบบแนะนำสินค้าในอีคอมเมิร์ซด้วย LangChain, Ollama และ Open-source Embedding แบบ Local
- คู่มือปี 2025: เปรียบเทียบเฟรมเวิร์กสร้างแอปมือถือยอดนิยม (Flutter, React Native, Expo, Ionic และอื่น ๆ)
- เข้าใจการใช้ `np.meshgrid()` ใน NumPy: ทำไมถึงจำเป็น และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสลับลำดับ?
- วิธีใช้ PyMeasure เพื่อควบคุมเครื่องมือวัดและทดลองในห้องแล็บโดยอัตโนมัติ
- ยกระดับแชทบอทของคุณด้วยบริการเชื่อมต่อ API กับระบบธุรกิจ
- เดา “สมการ” โดยไม่ต้องใช้คณิตศาสตร์: สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างแมวกับนก