RPA + AI: ทำไมระบบอัตโนมัติถึงล้มเหลว หากไม่มี “ความฉลาด” และการควบคุมที่ดี

บทนำ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา RPA (Robotic Process Automation) ถูกนำมาใช้เพื่อเร่งความเร็วงานซ้ำ ๆ
ขณะที่ AI (Artificial Intelligence) ถูกคาดหวังให้ช่วยตัดสินใจและวิเคราะห์ข้อมูลแทนมนุษย์

แต่ในความเป็นจริง หลายองค์กรในประเทศไทยกลับพบว่า

RPA อย่างเดียวทำให้ระบบเปราะบาง
AI อย่างเดียวทำให้ควบคุมยาก
และทั้งสองจะล้มเหลว หากไม่มีโครงสร้างการกำกับที่ดี

บทความนี้จะอธิบาย แนวคิด RPA + AI แบบใช้งานได้จริง สำหรับองค์กรไทย โดยเฉพาะองค์กรที่ยังใช้ ระบบเดิมแบบ web-based ไม่มี API


RPA เก่งอะไร — และไม่เก่งอะไร

RPA เหมาะกับงานประเภท:

  • กรอกข้อมูลเข้าระบบ
  • คัดลอกข้อมูลระหว่างหน้าจอ
  • อัปโหลดไฟล์
  • ทำงานตามขั้นตอนเดิมซ้ำ ๆ

แต่ RPA มีข้อจำกัดสำคัญคือ

RPA “ไม่เข้าใจ” สิ่งที่ทำ
มันเพียงแค่ทำตามคำสั่ง

เมื่อกระบวนการมี:

  • เอกสารหลายรูปแบบ
  • หลายภาษา (ไทย / อังกฤษ / ญี่ปุ่น)
  • ข้อยกเว้น
  • การตัดสินใจของมนุษย์

บอท RPA จะเริ่มพัง ดูแลยาก และขยายระบบไม่ได้


แล้วใช้ AI แทนทั้งหมดได้ไหม?

AI สามารถ:

  • อ่านเอกสาร
  • แยกข้อมูล
  • วิเคราะห์ความเสี่ยง
  • แนะนำสิ่งที่ควรทำ

แต่ AI มีธรรมชาติแบบ ความน่าจะเป็น

AI ให้คำแนะนำ ไม่ใช่คำตัดสิน
AI มีความมั่นใจ ไม่ใช่ความถูกต้อง 100%

สำหรับองค์กรที่ต้อง:

  • ตรวจสอบย้อนหลัง
  • รับผิดชอบต่อการตัดสินใจ
  • ผ่านการตรวจสอบ (audit)

การปล่อยให้ AI ตัดสินใจเองทั้งหมด คือความเสี่ยง


แก่นของ RPA + AI ที่ถูกต้อง

ความผิดพลาดที่พบบ่อยคือ:

  • ให้ RPA “คิด”
  • ให้ AI “ลงมือทำ”

แนวคิดที่ยั่งยืนกว่าคือ

บทบาท หน้าที่
AI อ่าน วิเคราะห์ แนะนำ
Rule / Policy บังคับนโยบาย
มนุษย์ อนุมัติ / รับผิดชอบ
RPA ลงมือทำ
Workflow ควบคุมลำดับ + ตรวจสอบ

สรุปสั้น ๆ:

AI คิด
มนุษย์ตัดสิน
RPA ทำ
Workflow คุมทั้งหมด


ตัวอย่าง Architecture ที่ใช้งานได้จริง (สำหรับระบบไม่มี API)

flowchart TD
    U["ผู้ใช้งานธุรกิจ (บัญชี / จัดซื้อ / โลจิสติกส์ / กฎหมาย)"] --> P["Portal / หน้ารับงาน"]
    P --> S["จัดเก็บเอกสาร (MinIO)"]
    P --> W["Workflow Engine (Camunda BPMN/DMN)"]

    W --> O["OCR (Tesseract: ไทย / อังกฤษ / ญี่ปุ่น)"]
    O --> A["AI วิเคราะห์เอกสาร (Private LLM)"]
    A --> R["กฎ / นโยบาย (DMN / Policy)"]

    R -->|"ความเสี่ยงต่ำ"| X["ขอให้ระบบดำเนินการ"]
    R -->|"ความเสี่ยงสูง"| H["มนุษย์ตรวจสอบ / อนุมัติ"]

    H -->|"อนุมัติ"| X
    H -->|"ปฏิเสธ"| E["หยุดกระบวนการ + บันทึกเหตุผล"]

    X --> B["RPA Bot (Robot Framework)"]
    B --> G["ระบบเดิมแบบ Web GUI"]

    W --> D["ฐานข้อมูลกระบวนการ (PostgreSQL)"]
    W --> L["Audit Log (ELK)"]
    B --> L

หลักการสำคัญของ Architecture นี้

  • AI ไม่แตะธุรกรรม
  • RPA ไม่ตัดสินใจ
  • ทุกอย่างมี log ตรวจสอบย้อนหลังได้
  • มนุษย์ยังคงเป็นผู้รับผิดชอบ

ทำไม Workflow สำคัญกว่าบอทหรือโมเดล AI

หลายโครงการ RPA + AI ล้มเหลว เพราะ:

  • มีบอทเก่ง
  • มี AI ฉลาด
  • แต่ไม่มีตัวควบคุมภาพรวม

ถ้าไม่มี Workflow:

  • ไม่รู้ว่าใครอนุมัติอะไร
  • จัดการข้อยกเว้นไม่ได้
  • Audit ทำยากมาก

Workflow คือสิ่งที่ทำให้ระบบ:

  • เชื่อถือได้
  • อธิบายได้
  • ขยายได้ในระยะยาว

RPA + AI ช่วย “ปรับกระบวนการ” ไม่ใช่แค่ “ทำให้เร็วขึ้น”

การทำ Automation บังคับให้องค์กรต้อง:

  • นิยามขั้นตอนให้ชัด
  • ระบุจุดตัดสินใจ
  • กำหนดความรับผิดชอบ
  • ตกลงวิธีจัดการข้อยกเว้น

ผลลัพธ์ที่ได้บ่อยคือ:

  • ขั้นตอนที่ไม่จำเป็นถูกตัดออก
  • นโยบายที่ขัดแย้งกันถูกแก้ไข
  • กระบวนการชัดเจนขึ้น

งานแบบไหนเหมาะกับ RPA + AI

เหมาะ

  • งานหลังบ้านปริมาณมาก
  • งานเอกสาร (สัญญา ใบแจ้งหนี้)
  • หลายภาษา
  • ระบบเก่า ไม่มี API
  • ต้องมีการตรวจสอบ

ไม่เหมาะ

  • งานเชิงกลยุทธ์
  • งานสร้างสรรค์
  • งานที่เปลี่ยนกติกาบ่อย

วัดความสำเร็จอย่างไร

แทนที่จะถามว่า:

  • มีบอทกี่ตัว?
  • อัตโนมัติกี่เปอร์เซ็นต์?

ควรถามว่า:

  • ข้อผิดพลาดลดลงไหม
  • เวลาตรวจสอบสั้นลงไหม
  • ทีมงานเชื่อถือระบบหรือไม่

ความเชื่อมั่น คือ KPI ที่แท้จริง


สรุป

RPA + AI ไม่ได้มีไว้แทนคน
แต่มีไว้ให้คน ทำงานในจุดที่ควรทำ

ระบบอัตโนมัติที่ดี
ไม่ใช่ระบบที่ไม่มีคน
แต่เป็นระบบที่รู้ว่า “คนต้องตัดสินใจตรงไหน”


Get in Touch with us

Chat with Us on LINE

iiitum1984

Speak to Us or Whatsapp

(+66) 83001 0222

Related Posts

Our Products